หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ภาษาพูดที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ

การพูดภาษาที่สองอย่างชัดเจน

อยากเก่งอังกฤษ ควรเริ่มจากอะไร ?

สนทนาภาษาอังกฤษ 1,000 ประโยค

เทคนิคการจำคำศัพท์

เทคนิคการจำคำศัพท์
วิธีจำศัพท์อังกฤษแบบ fun-fast-hard to forget
1.กลุ่มคำที่ความหมายเหมือนกัน (synonym)
เริ่มต้นที่กลอนแบบสัมผัสง่าย ๆ เช่น  ศัพท์ที่แปลว่าต้องการ นอกจาก want หรือ need แล้วยังมีหลายคำ เช่น crave for , long for , yearn for , die for , desire แต่ละตัวจำยากทั้งนั้น เอาง่าย ๆ ให้ท่องว่า
 “crave , yearn , long , die แปลว่า desire ...แต่ต้องใช้กับ for”
2.คำ ๆ เดียวแต่หลายความหมาย
          คำง่าย ๆ นี่แหละค่ะ อย่างเช่น bear ถ้าเป็น คำนาม(noun) ที่รู้ ๆ กันแปลว่าหมี แต่ถ้าเป็นคำกริยา( verb) ยังมีอีกตั้ง 4 ความหมาย เช่น bear (bore born) แปลว่า เกิด
แปลว่า อดทน เช่น I can't bear it anymore , แปลว่า รับรู้ เช่น Bear in mind,I ll love you forever
และแปลว่า ถือ cheque bearer คือผู้ถือเช็ค
 3.คำที่ใกล้เคียงกันและมักสับสน
 เช่น คำว่า sting แปลว่าต่อย stingy แปลว่า ขี้เหนียว ขี้งก stinky แปลว่าเหม็น sticky แปลว่าเหนียว เอามาร้องเป็นกลอนตลก ๆ
"อาบี sting อาตี๋ อาบี sting อาตี๋
ไอ้คน stingy ขี้งกๆ
แถมยังสกปรก อี๋...stinky
เอากาวมาบี้ sticky เหลือเกิน...เอากาวมาบี้ sticky เหลือเกิน
4.ร้อยศัพท์ยากให้เป็นประโยค

4.ร้อยคำศัพท์ให้เป็นประโยค
เพื่อจะได้มีกำลังใจในการท่อง ยกตัวอย่างเช่น Human beings are gifted with infinite potential.
5.จัดหมวดหมู่คำตามรากศัพท์ (root)
 เช่น จากรากศัพท์คำว่า tain แปลว่า keep หรือเก็บรักษา ก็ได้คำว่า...
retain -เก็บรักษา เช่น Retain the ticket when you enter the concert.
maintain -บำรุงรักษาให้คงไว้ เช่น A car must be maintained.
contain -บรรจุ เช่น This jug contains milk.
detain -เก็บกัก กักขัง เช่น Teacher detained two students for punishment.
6.จัดหมวดหมู่คำตามประเภทของเรื่อง (category)
 เช่น category เกี่ยวกับอาชญากรรม ก็อาจจะประกอบด้วย criminal อาชญากร ซึ่งแบ่งได้ออกเป็น 
pick-pocket นักล้วงกระเป๋า
mugger ผู้ร้ายชิงทรัพย์
robber โจรปล้นแบงค์
burglar พวกตีนแมว ย่องเบา
bandit โจรกระจอก


ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

การทักทาย (Greetings)
Good morning สวัสดี (เช้าถึงเที่ยงวัน)
Good afternoon สวัสดี (หลังเที่ยงวันถึงช่วงเย็น)
Good evening สวัสดี (ช่วงเย็นถึงกลางคืน)
Good day สวัสดี (ตลอดวัน)
Hello/Hi สวัสดี (เพื่อนหรือคนรู้จักทั่วไป)
การสอบถามทุกข์-สุขสำนวนที่ใช้สอบถามว่าสบายดีหรือ ได้แก่
How are you? (เน้นเรื่องสุขภาพ)
How are you going? (อังกฤษ) How are you doing? (อเมริกัน)
How’s it going? (เน้นความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน)
How have you been? (ในกรณีนาน ๆ เจอกันที)
How’s your life?
How’s everything?
How are things (with you)?
การตอบ ตัวอย่างการตอบ ได้แก่
(I'm) fine, thanks. And you? สบายดี ขอบคุณ แล้วคุณล่ะ
Good. สบายดี
Very well สบายดีมาก
I'm O.K. ก็ดี
So so. ก็งั้น ๆ
Not (too) bad ก็ไม่เลว
Great! เยี่ยม, วิเศษ
การอำลา (Leave Taking)
See you again….. พบกันใหม่ ….. (เป็นทางการ) เช่น
(เช่น See you again tomorrow/next time/next week/next month/next year/on Monday. เป็นต้น)
See you later/soon/then. เดี๋ยวเจอกันนะ
Have a nice day/time. โชคดีนะ/วันนี้ขอให้มีความสุขนะ
Have a nice holiday. ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะ
Have a nice weekend. ขอให้มีความสุขในวันสุดสัปดาห์นะ
Have a good time. ขอให้มีความสุขนะ/ขอให้เที่ยวให้สนุกนะ
Have a good/nice trip ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะ
Take care (of yourself) ดูแลตัวเองด้วย/รกษาเนื้อรักษาตัวด้วย ั
Sweet dreams / Sleep well ฝันดีนะ/นอนหลับให้สบายนะ
Good luck./Be successful. โชคดี/ขอให้ประสบความสำเร็จ
Good night. ราตรีสวัสดิ์/ไปแล้วนะ (ใช้ลาตอนกลางคืน)
Goodbye/Bye ไปแล้วนะ/ไปล่ะ
คำแสดงความยินดีที่ได้รู้จัก ได้แก่
(It’s) nice/good to meet/see you.
(I’m) pleased to meet/see you.
(I'm) glad to meet/see you.
It's a pleasure to meet you.
การตอบ ให้เพิ่มคำว่า too ที่หมายถึง'เช่นเดียวกันเช่น
Nice to see you, too. ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกัน
การขอบคุณ (Thanking)
การขอบคุณ สำนวนที่ใช้ในการขอบคุณ ได้แก่
Thanks you (very much). ขอบคุณ (มาก)
Thanks (a lot). ขอบใจ (มาก)
Thank you for …………….. ขอบคุณสำหรับ เช่น
Thank you for your present. ขอบคุณสำหรับของขวัญ
Thank you for everything. ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง
Thank you for your help. ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณ
I really appreciate that. ผมรู้สึกประทับใจจริง ๆ
การตอบรับคำขอบคุณ
You’re welcome. ไม่เป็นไร
Don't mention it. ไม่เป็นไร
Not at all. ไม่เป็นไร
It's nothing. ไม่เป็นไร
That's all right. / That's O.K. ไม่เป็นไร
(It's) a pleasure. ด้วยความยินดี
My pleasure./With pleasure. ด้วยความยินดี
Don’t worry (about it). อย่ากังวลไปเลย
No problem. ไม่มีปัญหา
การขอโทษ (Apologizing)
การขอโทษ สำนวนที่ใช้ในการขอโทษ ได้แก่
I’m sorry. ผมขอโทษ
I’m sorry. I’m late. ขอโทษที่มาช้า
I’m sorry I troubled you. ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบาก
Excuse me, please. ขอโทษครับ/ค่ะ
Excuse me for interrupting. ขอโทษที่รบกวน
Excuse me for a moment. ขอโทษขอเวลาสักครู่
การให้อภัย สำนวนที่ใช้ในการตอบรับคำขอโทษ
That’s all right. ไม่เป็นไร (ตอบรับคำขอโทษ)
Don’t worry (about it). อย่ากังวลไปเลย
No problem. ไม่มีปัญหา
That's O.K. หรือ I'm O.K. ไม่เป็นไร หรือ ผมไม่เป็นไร






วิธีฝึกการเขียนภาษาอังกฤษ

การฝึก Writing Skill
     1. คิดให้ชัดๆว่า ประเด็นหลักหนึ่งประเด็นคืออะไรและมีเหตุผลอะไรชัดๆ 2-3 ประเด็นในการ support ประเด็นหลักการเขียนมิใช่สักแต่เขียน แต่จะต้องพยายามจูงให้คนอ่านเห็นคล้อยตามเรา หาเหตุผลจากแม่น้ำทั้ง 5 มาเพื่อให้ argument ของเรา strong เขียนด้วย passion มิใช่ปากกาลากไป ก็สักแต่เขียนไปอย่างนั้น เราต้องเชื่อมั่นจริงๆ สิ่งที่เราเขียนสิ่งที่เราแสดงออก คนอื่นจึงจะเชื่อเราตามไปด้วย 
     2. ก่อนลงมือเขียนให้ Outline ด้วย key words หลักๆ เพื่อใช้เป็น supporting  ideas ให้ think through ในแต่ละประเด็นที่เราเสนอไม่คิดไปเขียนไปเพราะเราจะเป็น run-on sentences คิดให้เร็วคิดให้ทะลุ คิดแล้วเขียนออกมาทุกคนจะต้องเชื่อเรา ถ้าเราไม่เชื่อสิ่งที่เราเขียนใครจะเชื่อเราล่ะ       
     3.  ใช้แนวทางการแปลจากไทยเป็นภาษาอังกฤษที่อาจารย์สอนไทยชัด อังกฤษก็ชัด ทุกประโยคความคิดภาษาไทยฟังแล้วต้องเข้าใจทันที ห้ามกำกวมเพื่อโอกาสที่ภาษาอังกฤษจะออกมาชัดตามไปด้วย เวลาเขียนศัพท์และ grammar รวมทั้ง structure ต้อง flow มา automatically ต้องไม่คิดอีกแล้ว แค่ focus on idea presentation ล้วนๆ      
     4. การเขียน paragraph  แรกเป็น opening paragraph เป็นการเปิดประเด็น ส่วนอีกสัก 3 paragraphs ต่อมาจะลงในเรื่องรายละเอียดที่ support thesis statement ปิดท้ายด้วย conclusion ซึ่งไม่ควรเป็นการ repeat idea ใน opening paragraph แต่เป็นการสรุปโดยใช้  key words represent idea หลักๆ ของแต่ละ paragraph และอาจจะ insert อีกสักประโยคเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของ argument เรา        
     5. การเขียนให้ระวังเรื่อง tense เป็นสำคัญ รูปประโยคให้ keep simple and clear เข้าไว้ เขียนแบบพังผืดไม่เอา คนที่เก่งจริง พูด 3-4 ประโยคก็เข้าประเด็นและน่าเชื่อถือแล้ว แต่ต้องเป็นเนื้อๆจริงๆ มิใช่น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง




วิธีฝึกอ่านภาษาอังกฤษ

วิธีฝึก Reading Skill
     1. Apply ศัพท์และ Grammar รวมทั้ง Structure เพื่อสร้างภาพ แสง สี เสียง และความรู้สึกตามผู้เขียนไปด้วย ถ้าศัพท์ไม่พอ ภาพไม่เกิด หรือมัวเหลือเกิน grammar ไม่แม่น ยิ่งอ่านยิ่งงง ไม่รู้อันไหนประโยคหลัก ประโยครอง เน้นหรือไม่เน้น ฉะนั้นต้อง build a solid foundation of grammar and vocabulary 
    2. เวลาที่อ่านแต่ละประโยค และแต่ละบรรทัดเป็นการ Add ข้อมูลให้ภาพในใจของเราชัดเจนกับหนังที่ฉายต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเรามีมโนภาพเราจะจำเนื้อเรื่องได้เอง และจะรู้สึกว่าตรงไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ ประเด็นหลักอยู่ตรงไหน       
    3. เวลาเจอศัพท์ที่ไม่เคยเจอ ก็ให้เดาความหมายจากภาพ ถามต่อไปว่าเป็นความรู้สึกบวกหรือลบ ชื่นชมหรือวิจารณ์ ซึ่งปรับเรียกเท่ห์ๆว่าVocabulary in context ไม่มีอะไรมากนักหรอก







วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษ

วิธีฝึก Speaking skill 

  1. เวลาพูด ให้สร้างประโยคด้วย S+V+O  และหากมี Conjunction  ก็ต้องเตรียม 2 ประโยคทันที (ประโยคดูจาก Verb แท้ที่มีการผัน)  
  2. ต้องจำหลัก Grammar 25 กฎได้อย่างคล่องแคล่ว และจำ Structure ย่อย ( ดูได้จากเทป) ได้อย่างอัตโนมัติ ทดสอบได้จากเวลาทวน หากพูดเพียงตัวแรก เช่น practice  ต้องรู้ทันทีว่า Verb ที่ตามมาต้องเป็น V.ing หรือ find + Obj.  ตัวที่ตามมาคือ Adj.   
  3. ต้องสร้างฐานศัพท์ให้มากเพียงพอที่จะแปลงความคิดจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษได้ ให้สังเกตว่าคำไหนเห็นบ่อยๆก็หัดเริ่มจำคำนั้นและศึกษาวิธีการใช้ ซึ่งก่อนอื่นต้องรู้ว่าศัพท์ที่เราจะจำแต่ละคำทำหน้าที่อะไร เช่น V, N, Adj., Adv, Conj. เป็นต้น และใช้หลัก Grammar และ Structure connect คำนั้นให้ออกมาในรูปของประโยค การพูดภาษาอังกฤษก็เปรียบเสมือนกับการร้อยพวงมาลัย มะลิแต่ละดอกก็เหมือนกับคำศัพท์แต่ละคำ จะมาร้อยรวมกันหรือรวมกับดอกกุหลาบ ดอกจำปี หรือดอกไม้ประเภทต่างๆ ก็ต้องอาศัย Grammar และ Structure เข้าช่วย จึงจะออกมาเป็นพวงมาลัยที่งดงามหรือภาษาที่ถูกต้องสละสลวย ฟังแล้ว อ่านแล้ว เข้าใจอย่างถ่องแท้    
  4. ในใจต้องมีความอยากจะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ หรืออยากให้คนทำตามสิ่งที่เราเชื่อ นั่นคือ ในแต่ละวัน เราจะพยายาม Convince ผู้อื่นให้เชื่อตามเรา คล้อยตามเรา ฝึกให้เป็นนิสัยจนเคยชิน และเมื่อพูดภาษาอังกฤษจะได้รู้จักการหา supporting ideas มาสนับสนุน idea ของเรา    
  5. เวลาพูดจริงๆ ให้มี  Sensation หรือประสาทรับความรู้สึกแถวริมฝีปาก ลิ้นและฟันหน้าอยู่เสมอ วิธีการง่ายสุดคือ พยายามฉีกปากยิ้มเวลาพูด ทุกอย่างจะ sound smooth เองและเราจะไม่ nervous ระหว่างพูด ให้ทุกอย่าง flow ออกมาจากความรู้สึก    
  6. เนื้อหาเวลาพูด ให้ Touch the main point ไม่พูดเรื่อยเจื้อยหรือต่อความยาวสาวความยืด บอกตัวเองตลอดเวลาว่า ประเด็นคืออะไร พูดไปทำไม ฟังแล้วน่าเชื่อไหม หรือฟังแล้วน่าเบื่อไร้สาระ    
  7. อาจเริ่มฝึกพูดกับตัวเองบ่อยๆ พูดดังๆ บางคนอาจมีคำถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าพูดถูกหรือป่าว รู้ได้สิครับ รู้โดยการเช็คดูว่า Grammar และStructure เราแม่นขนาดไหนมี word selection  มากพอไหม พูดคล่องขนาดใด ถ้ารู้สึกยิ่งพูดยิ่งมัน ถือว่าภาษาเข้าขั้นแล้ว 

อ้างอิง : http://www.fast-english.com/?ContentID=ContentID-090131104717304

วิธีฝึกการฟังภาษาอังกฤษ

วิธีฝึก Listening skill 

      1. การฟังมี 2 แบบคือ ฟังแบบจับใจความ (Macro)และฟังการออกเสียงสำเนียง (Micro) ให้เริ่มจากการจับใจความก่อน เมื่อคล่องบวกกับเริ่มมั่นใจว่าฟังออกแล้ว ถึงเริ่ม focus on pronunciation ได้ยินคำไหน ให้ฝึกออกเสียงตาม โดยเฉพาะให้สังเกตศัพท์ที่เรารู้อยู่แล้ว แต่ทำไม Native speaker จึงออกเสียงไม่เหมือนกับเราก็ให้รีบแก้สำเนียงการออกกเสียงของคำนั้นๆให้ถูกต้อง (คนฉลาดคือคนที่ช่างสังเกต = observing) 
     2. ให้ไปซื้อหูฟังใหญ่ๆ ยี่ห้อ Philips ประมาณ 4,000 กว่าบาท เสียงดังฟังชัด Input เท่ากับ Output ในเส้นสมองของเราต้องมีเสียงที่ถูกต้องของศัพท์แต่ละคำก่อน เราจึงจะออกเสียงของคำๆนั้นได้ถูกต้อง และเมื่อเราได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง เราก็จะระลึกและจำได้ ทำให้ฟังรู้เรื่อง
     3. ต้องสร้างฐานศัพท์ก่อน มิฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาพูดอะไร (ดูวิธีสร้างฐานศัพท์ในส่วนการฝึก Speaking Skill ข้อ 3)
     4. จับ Key Words ให้ได้โดยแปลงคำเหล่านั้นเป็นมโนภาพ (visualization) เพื่อจะได้ปะติดปะต่อเรื่องและเข้าใจความรู้สึกของผู้พูด (ภาพสื่อความรู้สึก)
     5. ให้หัดดูหนังฝรั่งบ่อยๆหรือฟังสารคดี ข่าว CNN อย่าอ่าน Subtitle มิฉะนั้นประสาทจะไม่ทำงาน ตั้งใจฟังอย่างเดียว วันละสัก 1.5-2 ชั่งโมงเพื่อสร้างความเคยชินกับภาษา อีกทั้งโครงสร้างของภาษาที่ถูกต้องจะถูกดูดซับเข้าไปในเส้นสมอง และควรฝึกหัดฟังเพลง โดยเฉพาะเพลงโปรดของเรา พยายามเข้าใจเนื้อความและความหมาย หูเราก็จะพัฒนาความละเอียดอ่อนของการออกเสียงสู่จุดสูงสุด เวลาหัดฟังรายการหรือเพลงภาษาอังกฤษ ในตอนแรกไม่ต้องพยายามเข้าใจความหมาย แต่ตั้งจิตฟัง Pronunciation  ของแต่ละคำ  stress and intonation  โดยเฉพาะให้สังเกตปากของฝรั่งเวลาพูด จะเปิดกว้างมาก และมีลมพวยพุ่งออกมาจากปากตลอดเวลา (เสียงระเบิด) เราก็ฝึกพูดตามไปด้วยคือ ยิ้มสยามเข้าไว้ทุกอย่างจะดีเอง เพราะปากเราจะเปิดถ้ากว้างตามไปด้วย เสียงจะได้ไม่ตะกุกตะกัก





สถิติการใช้ภาษาอังกฤษของนักเรียนไทย

สถิติการใช้ภาษาอังกฤษของนักเรียนไทย

สถิติไอเอลชี้ ภาษาอังกฤษของไทย ต่ำกว่าเพื่อนบ้าน
                เมื่อเร็วๆนี้ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ลูกศิลป์รายงานว่า บริติชเคาน์ซิลประจำประเทศไทยเปิดเผยสถิติการทดสอบสอบความรู้ภาษาอังกฤษนานาชาติ หรือที่รู้จักในชื่อไอเอล (IELTS) ในส่วนที่ใช้สำหรับสมัครเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาหรือสูงกว่าทั่วโลกประจำปี 2554 พบว่า ชาวไทยที่เข้ารับการสอบ มีผลสอบอยู่ที่ระดับ 5.5 เป็นจำนวนมากที่สุดคือ 26% ของผู้เข้าสอบชาวไทย ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวหมายถึงภาษาอังกฤษระดับปานกลาง สามารถมีการใช้ภาษาได้บางส่วนและเข้าใจความหมายกว้างในสถานการณ์ส่วนใหญ่ สามารถสื่อสารในระดับพื้นฐานที่ตนถนัดได้ แต่ยังมีข้อผิดพลาดบ่อยๆ อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบในกลุ่มประเทศอาเซียน พบว่า ประเทศไทยจัดอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าทั้งประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม และพม่าด้วย โดยเกณฑ์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับ 6-7 ขึ้นไป ขณะที่ประเทศที่มีค่าเฉลี่ยนสูงสุดในอาเซียนคือสิงคโปร์อยู่ที่ระดับ 8.0
          การอ่านและพูดเป็นปัญหาใหญ่สุด ไทยจะเสียเปรียบอาเซียน
                ​วันที่ 20 สิงหาคม นายวรวินชญ์ พวรสิน ผู้ให้คำปรึกษาด้านการบริการลูกค้า บริติชเคาน์ซิล สาขาสยามแสควร์ กล่าวว่า ชาวไทยได้คะแนนไอเอลโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 5.0-6.0 ซึ่งยังไม่สามารถนำไปใช้ในการสมัครเรียนต่อหรือการทำงานได้ เพราะส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยต่างๆทั่วโลกรวมถึงในเมืองไทยในหลักสูตรภาคภาษาอังกฤษจะมีเกณฑ์การรับเข้าศึกษาต่ออยู่ที่ระดับ 6.5-7.0การสอบไอเอล จะทดสอบการพูด ฟัง อ่าน และเขียน ซึ่งทักษะการอ่านและการพูดเป็นปัญหาที่สุดของคนไทยที่ได้คะแนนต่ำเพราะคนไทยยังอาย ไม่กล้าที่จะพูด กังวลถึงการใช้ภาษาที่จะผิด ทั้งๆที่ยังไม่ได้ทดลองก่อน” นายวรวิชญ์ กล่าว
ผู้ให้คำปรึกษาด้านการบริการลูกค้า บริติชเคาน์ซิล กล่าวว่า ส่วนทักษะการอ่าน ปัญหาอยู่ที่การอ่านไม่ทันและไม่สามารถตอบคำถามตามเวลาที่กำหนดให้ได้ สองทักษะนี้เองทำให้เกณฑ์ระดับการทดสอบภาษาอังกฤษของคนไทยต่ำลง ทั้งนี้จากคะแนนดังกล่าว ทำให้การที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน คนไทยจะปัญหาอย่างมาก เพราะชาติที่เข้าร่วมประชาคมอาเซียน บางชาติใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักจึงอาจทำให้เกิดการรับคนต่างชาติเข้างานและแข่งขันที่สูงขึ้น
นายเจมส์ กล่าวต่อว่า อีกปัญหาคือครูไทยสอนภาษาอังกฤษโดยใช้ท่องจำมากกว่าการสร้างความเข้าใจให้กับนักเรียน อาทิ สอนให้นักเรียนลอกตามในสิ่งที่ครูสอน แต่ไม่สอนความเข้าใจให้กับผู้เรียน ที่เห็นได้ชัดเลยคือเวลาครูผู้สอนถามถึงความเป็นอยู่ของผู้เรียน นักเรียนไทยส่วนใหญ่จะตอบว่า I’m fine thank you, and you?” (ฉันสบายดี แล้วคุณล่ะ?) ทั้งๆที่บางคนก็ไม่สบายแต่ไม่กล้าพูดหรือไม่รู้จะพูดว่าอะไรเพราะสอนกันแบบท่องจำ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นอกจากนี้ สถิติผลการทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษTOEFL ประจำปี 2011 หรือ พ.ศ. 2554 จาก ETS (Educational Testing Services) พบว่า ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 116 จากทั้งหมด 163 ประเทศ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่มีความรู้ระดับต่ำ แต่ยังมีลำดับนำหน้าอยู่ 2 ประเทศในโซนอาเซียน คือ กัมพูชา และลาว ส่วนประเทศที่มีระดับความรู้ในการทดสอบภาษาอังกฤษใกล้เคียงกับประเทศไทยคือประเทศพม่าและเวียดนาม 
          แนะศธ.- สทศ.เปลี่ยนข้อสอบภาษาอังกฤษ จะทำให้เด็ก ครู โรงเรียนเปลี่ยน ระบุครูเรียนปรับวุฒิ ไม่ได้มุ่งพัฒนาเด็ก อยากเห็นรัฐบาลฟื้นโครงการทุนครู 5 ปี เน้นเด็กดี เก่งเรียนครู
          ดร.อรพรรณ วีระวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า จากงานวิจัยที่ได้ศึกษาเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยเพราะเหตุใดไม่ได้ผลนั้น และเด็กไทยก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แม้ว่าจะเรียนในหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำหนดให้ได้เรียนกันตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาตอนต้น ประถมศึกษาตอนปลาย (ป.1 ป.6 ) และมัธยมศึกษาตอนตั้ง- มัธยมศึกษาตอนปลาย ( ม.1-ม.6) รวมเวลาที่เรียนภาษาอังกฤษทั้งสิ้น 12 ปีเต็มๆ แต่เด็กไทยก็ยังใช้ภาษาอังกฤษในการพูดไม่ได้ อย่าว่าแต่เด็กเลยอาจารย์ในมหาวิทยาลัยระดับด๊อกเตอร์บางคนก็ยังไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษสนทนาในชีวิตประจำวันได้ 
         เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมาจาก Socio Linguistics ภาษาศาสตร์ทางด้านสังคมไทย มีปัจจัยที่ทำให้เด็กไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แม้จะเรียนมาเป็นเวลาถึงสิบกว่าปีก็ตาม สืบเนื่องจากการที่เด็กต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ เด็กละเลยที่จะเรียนพูด ครูไม่เน้นไม่ให้ความสำคัญเพราะในข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่มีการสอบพูด ครูไทยเน้นการสอบไวยาการณ์ (grammar) และการการเนื้อเรื่อง (Reading) เพื่อให้เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ แรงขับดันจากพ่อแม่ผู้ปกครองที่ลูกต้องสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเพื่อพ่อแม่จะได้ภูมิใจ โรงเรียนเองก็ต้องการสถิติจำนวนเด็กที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ในจำนวนที่มากและแต่ละปีก็ต้องเพิ่มขึ้นๆ 
        ผลการทดสอบที่ใช้ชื่อว่า “JobStreet.com English Language Assessment” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “JELA” ซึ่งวัดความสามารถด้านทักษะภาษาอังกฤษโดยคำถามจำนวน 40 ข้อ ที่สุ่มเลือกมาจาก 1,000 ข้อ พบว่า กลุ่มตัวอย่างจากสิงคโปร์ได้คะแนนสูงที่สุด คิดเป็นค่าเฉลี่ยที่ 81 เปอร์เซ็นต์รองลงมาคือกลุ่มตัวอย่างจากฟิลิปปินส์ที่ได้ 73 เปอร์เซ็นต์, มาเลเซีย 72 เปอร์เซ็นต์, อินโดนีเซียได้คะแนนเฉลี่ย 59 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ไทยอยู่รั้งท้ายที่ 55 เปอร์เซ็นต์ หรือเกินครึ่งเพียงเล็กน้อย  สำหรับประเทศไทยนั้น ทาง จ๊อบสตรีท” เผยว่า ผู้เข้ารับการประเมินจากสายอาชีพด้านข่าว, การตลาด/การพัฒนาธุรกิจ, เลขานุการและผู้ช่วยส่วนบุคคล ได้รับคะแนนเฉลี่ยสำหรับการทดสอบภาษาอังกฤษที่สูงกว่าสายงานด้านอื่นๆ แต่ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ทั้งนี้ ทีมงานของจ๊อบสตรีท ซึ่งเป็นเว็บไซต์ผู้ให้บริการหางานผ่านอินเทอร์เน็ตชื่อดัง ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 เป็นต้นมา ระบุว่า มีผู้เข้าร่วมการทดสอบวัดความสามารถด้านภาษาอังกฤษในครั้งนี้ทั้งสิ้น 1,540,785 คน จาก 5 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์

ครูฝรั่งเผย ต้องกล้าพูดถึงจะเก่ง
                นายเจมส์ เบทส์ หัวหน้าอาจารย์ประจำสถาบันสอนภาษาอังกฤษบอสตั้น ไบร์ท กล่าวว่า ปัญหาที่ตนและครูผู้สอนของสถาบันพบคือ ผู้มาสมัครเรียนภาษาอังกฤษไม่มีความกล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษ การใช้หลักไวยากรณ์อย่างถูกต้องเป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้งอาจจะไม่จำเป็นสำหรับการสื่อสารในบางครั้ง ทั้งนี้สิ่งที่เป็นหัวใจหลักในการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ยังเป็นปัญหากับคนไทยอยู่เสมอคือ ความไม่มั่นใจในตัวเอง ซึ่งความกล้าพูดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการสื่อสารและพูดภาษาอังกฤษสำหรับคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก
                นายเจมส์ กล่าวอีกว่า การที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนเข้ามาสู่ประชาคมอาเซียนนั้น คนไทยจำเป็นอย่างมากที่จะต้องพัฒนาทักษะทางด้านภาษาอังกฤษ เนื่องจากเมื่อปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคอาเซียน ประเทศที่เข้าร่วมต่างๆ อาทิ สิงค์โปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย พม่า ต่างมีทักษะทางด้านภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างดีกว่าประเทศไทยซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันกันในอาชีพต่างๆสูงขึ้นและคนไทยจะลำบาก
 นศ.ระบุ ไทยเข้าอาเซียนมีทั้งข้อดีข้อเสีย
                นายศุภณัฐ พัฒนพันธุ์พงศ์ นักศึกษาสาขาจิตวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การที่ประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียนถือเป็นโอกาสที่ดีแก่คนไทย เพราะทำให้บุคลากรที่ดีสามารถเลือกงาน หรือเดินทางและทำธุรกิจในประเทศสมาชิกได้ง่ายขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นอุปสรรคต่อคนไทยเนื่องจากปัญหาทางด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษของคนไทยค่อนข้างอ่อน จุดนี้จะทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างมากขึ้นและอาจทำให้คนไทยเสียโอกาสในบางครั้ง




เรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร

เรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร

ปัจจุบันภาษาอังกฤษเป็นวิชาหนึ่งที่มีความสำคัญในการศึกษาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันโดยมีบทบาทสำคัญกับชีวิตประจำวันของหลายๆคนในด้านต่างๆ  รวมไปถึงการศึกษาและประกอบอาชีพ  รวมทั้งธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพต่างๆที่เกิดขึ้นมากมาย  ดังที่เราพบเห็นภาษาอังกฤษจากวิทยุ  โทรทัศน์  อินเตอร์เน็ต  สื่อสิ่งพิมพ์หรือแม้กระทั่งการพูดคุยในชีวิตประจำวันก็มีภาษาอังกฤษผสมอยู่ด้วย

การสนทนามีความสำคัญในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ และเป็นวิชาหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านการดำเนินชีวิตและปัจจุบันพบว่าภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทสำคัญในการประกอบอาชีพเป็นอย่างมาก  เนื่องจากธุรกิจในปัจจุบันมีการสื่อสารด้านการท่องเที่ยว  การเดินทาง  จำเป็นต้องมีการสนทนาภาษาอังกฤษอยู่ด้วยเสมอหรือสิ่งที่พบเห็นเป็นประจำในการดำรงชีวิตในแต่ละวันของมนุษย์  หรือแม้กระทั้งการประกอบกิจการส่วนตัวต่างๆ  ดังที่กล่าวมานี้จะต้องมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องการสนทนาภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี